วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การสื่อสารทั้งการพูดและการเขียนมีบทบาทสำคัญต่อการวิจัยอย่างไร

                 



                     การสื่อสาร (communication) หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร  ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์  ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์ การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร  โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน  บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล




                แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในการสื่อสารสำหรับหลายๆคน รวมทั้งตัวดิฉันเอง คือจะทำอย่างไรให้การสื่อสารนั้นทำให้ผู้อื่นหรือผู้รับสารเข้าใจในเนื้อความที่ต้องการอธิบาย หรือแม้แต่บางครั้งเข้าใจในเนื้องานบางอย่างแล้วต้องการอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ผู้อื่นเข้าใจหรือเห็นภาพด้วย บ้างครั้งก็ถือเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน แต่ปัญหาเหล่านี้ก็สามารถแก้ไขได้โดยต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่จะสื่อให้ผู้อื่นฟังนั้นให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน เมื่อเข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วก็จะสามารถนึกประมวลออกมาเป็นลำดับขั้นตอนได้และสามารถอธิบายหรือสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ชัดเจนและง่ายขึ้น ดังนั้นการสื่อสารโดยการพูดก็มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความเชี่ยวชาญเพื่อที่จะใช้สื่อสารกับผู้อื่นให้ได้เนื้อสารที่ถูกต้องและชัดเจนมากที่สุด  เพราะบางครั้งถ้าพูดผิดหรือเพี้ยนไปก็อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ เช่นดิฉันเป็นนักฟิสิกส์ถ้าพูดความหมายของตัวแปรทางฟิสิกส์ผิดก็จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของสมการได้เป็นต้น การพูดไม่สำคัญอย่างเดียว การเขียนก็มีความสำคัญด้วยเพราะการเขียนต้องคำนึงถึงหลักความถูกต้องไม่ใช่นำภาษาที่พูดมาเขียนได้เลย แต่ต้องมีการกลั่นกรองนำภาษาพูดมาเขียนให้เป็นภาษาเขียนอีกครั้งเพื่อที่ให้ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจเพราะการเขียนเป็นการอธิบายให้ผู้รับสารเข้าใจผ่านตัวหนังสือ ซึ่งจะแตกต่างกับการพูด เพราะการพูดนั้นอาจจะมีท่าทางประกอบมีการปฏิสัมพันธ์ มีการโต้ตอบกันช่วยให้การสื่อสารง่ายขึ้น แต่การเขียนนั้นทำอย่างไรจะทำให้ผู้อ่าน อ่านแล้วสามารถนึกภาพตามในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการได้ ดังนั้นก่อนที่จะเขียนก็ควรศึกษารายละเอียดของเนื้อสารให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน และต้องเขียนให้ถูกต้องเพื่อผู้อ่าน อ่านแล้วเกิดความน่าเชื่อถือ 




                ซึ่งเมื่อเรามีทักษะในการพูดและการเขียนดีแล้วในการพูดเพื่อการนำเสนองานวิจัยหรือเขียนเล่มงานวิจัยก็ไม่ใช้อุปสรรคที่น่ากลัวเลย ยกตัวอย่างเช่น เราทำการวิจัยเกี่ยวกับการทดลอง ผู้ทดลองต้องเป็นผู้ที่ศึกษารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต่างๆที่ใช้ทดลองอย่างละเอียด และเข้าใจในลำดับการทดลองของตนเองเป็นอย่างดีื เข้าใจถึงปัญหาที่ได้มาซึ่งผลคำตอบต่างๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องนำเสนองานวิจัย ผู้ทำวิจัยจะต้องมีความพร้อมในการพูดลำดับขั้นตอนของการทดลองต่างๆ เพื่อสื่อสารให้ผู้ฟังที่อาจจะไม่มีความรู้ในเรื่องที่เราต้องการสื่อสาร ให้เิกิดความเข้าใจมาที่สุด แต่บ้างครั้งการนำเสนองานต่อหน้าคณะกรรมการก็อาจทำให้เิกิดความตื่นเต้น อาจทำให้พูดผิดพูดถูก เราจึงควรแก้ปัญหาโดยการฝึกซ้อมพูดให้เกิดความเคยชิน ให้เรียงลำดับได้ว่าต่อไปจะพูดถึงเรื่องใด เพื่อเวลานำเสนอจะได้ดูมีความน่าเชื่อถือ และการเขียนเล่มงานวิจัยก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิ่งที่เรากำลังศึกษา ควรเขียนให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา ควรมีการตรวจตรารายละเอียดต่างๆให้รอบคอบและแม่นยำ


               ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดสื่อให้เห็นว่าทั้้งการพูดและการเขียนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการใช้สื่อสารไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในชีวิตประจำวันหรือการสื่อสารทางด้านงานวิจัย เพราะถ้าพูดดีเขียนถูกต้องครบถ้วนก็จะทำให้งานวิจัยของเรามีคุณภาพดี น่าเชื่อถือ






วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

นวัตกรรมเกี่ยวข้องกับการศึกษา....





....นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ๆ อาจเป็นแนวความคิดหรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาแรงงานได้ด้วย นักการศึกษาและนักวิชาการก็ได้นำมาใช้ร่วมกับการศึกษา โดยใช้ชื่อว่า

...นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) ซึ่งหมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจุงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน


...ดังนั้นการศึกษาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแต่เพียงในห้องเรียนหรือเพียงแต่วิธีการเรียนรู้แบบเดิมๆในตำรา หากแต่สามารถจัดการศึกษาได้โดยทั่วไป  ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนหรือแม้แต่การคิดประดิษฐ์สื่อการสอนหรือวิธิการสอนใหม่ๆเพื่อพัฒนาการสอนให้ทันยุคสมัยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสนใจที่จะเรียนรู้ ซึ่งวันนี้ดิฉันก็มีตัวอย่างนวัตกรรมทางการศึกษาที่น่าสนใจและสามารถนำไปปรับใช้กับการเรียนการสอนได้จริง

"ทฤษฎีการเรียนรู้ คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism)"

ทฤษฎีการเรียนรู้ คอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism) มีสาระสำคัญที่ว่า ความรู้ไม่ได้มาจากการสอนของครูหรือผู้สอนเพียงอย่างเดียว แต่ความรู้จะเกิดขึ้นและสร้างขึ้นโดยผู้เรียนเอง การเรียนรู้จะ เกิดขึ้นได้ดี    ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by doing) นอกจากนั้นมองลึกลงไปถึงการพัฒนาการของผู้เรียนในการเรียนรู้ซึ่งจะมีมากกว่าการได้ลงมือปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปฏิกริยาระหว่างความรู้ในตัวของผู้เรียนเอง ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมภายนอก หมายความว่า ผู้เรียนจะสามารถเก็บข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและเก็บเข้าไปเป็นโครงสร้าง ของความรู้ภายในสมองของตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถเอาความรู้ภายในที่ตนเองมีอยู่แล้วแสดงออกมาให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อมภายนอกได้ ซึ่งจะเกิดเป็นวงจรต่อไปเรื่อยๆได้ คือ ผู้เรียนจะเรียนรู้เองจากประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วนำข้อมูลเหล่านี้กลับเข้าไปบันทึกในสมองผสมผสานกับความรู้ภายในที่มี อยู่ แล้วแสดงความรู้ออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก ดังนั้นในการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองจะได้ผลดีถ้าหากว่าผู้เรียนเข้าใจในตนเอง มองเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ ใหม่กับความรู้เก่า  และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ประสบการณ์และบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้  ถือได้ว่าทฤษฎีการเรียนรู้ Constructionism จะเน้นการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ คือ วิธีการสอน    ที่ผู้เรียนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ ผู้เรียนสามารถเลือกสร้างงานหรือปฏิบัติในสิ่งที่มีความหมายกับตนเองหรือที่ตนเองสนใจ
บทบาทและคุณสมบัติที่ครูควรมีใน การสอนแบบ Constructionism
การสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้ Constructionism ครูนับว่ามีบทบาทสำคัญมากในการที่จะควบคุมกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมาย ที่กำหนดไว้ ซึ่งครูที่ศึกษาทฤษฎีนี้ควรมีความเข้าใจในบทบาท คุณสมบัติที่ครูควรจะมี รวมทั้งทัศนคติที่ครูควรเปลี่ยนและสิ่งที่ต้องคำนึงถึง บทบาทของครู ในการดำเนินกิจกรรมการสอน ดังนี้
1. จัดบรรยากาศการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดยควบคุมกระบวนการการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมายตาม  ที่กำหนดไว้และคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่น
2. แสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนตามโอกาสที่เหมาะสม
3.สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีทางเลือกที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การลงมือทำและการเรียนรู้
4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามแนวทางของทฤษฎี Constructionismโดยเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้จุดประกายความคิดและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนโดยทั่วถึงกัน ตลอดจนรับฟังและสนับสนุนส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้เรียนที่จะเรียนรู้เพื่อ ประจักษ์แก่ใจด้วยตนเอง
5. ช่วยเชื่อมโยงความคิดเห็นของผู้เรียนและสรุปผลการเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมและนำทางให้ผู้เรียนได้รู้วิธีวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อผู้เรียนจะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

บทบาทของผู้เรียน

การเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism ผู้เรียนจะมีบทบาทเป็นผู้ปฎิบัติและสร้างความรู้ไปพร้อมๆกันด้วยตัวของเขาเอง(ทำไปและเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน) บทบาทที่คาดหวังจากผู้เรียน คือ
1.มีความยินดีร่วมกิจกรรมทุกครั้งด้วยความสมัครใจ
2.เรียนรู้ได้เอง รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆที่มีอยู่ด้วยตนเอง
3.ตัดสินปัญหาต่างๆอย่างมีเหตุผล
4.มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตนเอง
5.วิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้
6.ให้ความช่วยเหลือกันและกัน รู้จักรับผิดชอบงานที่ตนเองทำอยู่และที่ได้รับมอบหมาย
7.นำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้

โดยสรุปแล้ว หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียน  เรียนรู้จากการสร้างงาน ผู้เรียนได้ดำเนินกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยการลงมือปฏิบัติหรือสร้างงานที่ตนเองสนใจ      ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สัมผัสและแลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิกในกลุ่ม ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ขึ้นด้วยตนเอง  จากการปฎิบัติงานที่มีความหมายในบริบทที่แท้จริงของตน ทั้งนี้ครูผู้สอนจะต้องสร้างให้เกิดองค์ประกอบได้แก่ 1) ให้ผู้เรียนได้ลงมือประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง (ได้สร้างชิ้นงาน) ตามความสนใจ ตามความชอบหรือความถนัด ของแต่ละบุคคล 2) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภายใต้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ดี  3)มีเครื่องมืออุปกรณ์ในการประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม  ซึ่งการที่นักเรียนจะประสบผลสำเร็จมากน้อยเท่าไรขึ้นอยู่กับบทบาทของครูด้วย  โดยครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทของตนเองมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) ในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่นักเรียน

...นี้คือตัวอย่างนวัตรกรรมทางการศึกษาที่สามารถนำไปปรับใช้กับการเรียนการสอนได้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กนักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนแบบนี้ยังช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออกด้วย


ที่มา: ธีระยุทธ  วิเศษสังข์ นิสิตปริญญาเอก สาขานวัตกรรมหลักสูตรและการเรียนรู้คณะศึกษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศมีผลต่อกระบวนทัศน์ทางการศึกษาอย่างไรและส่งผลกระทบต่อตัวเราอย่างไร

แรกเริ่มรู้จัก...

 "เทคโนโลยีสารสนเทศ" จริงแล้วมาจากคำที่เราเรียกกันอยู่บ่อยครั้งว่า ไอที ( IT : Information Technology )  ทั้งนี้ IT ประกอบด้วย 2 คำ คือ Technology และ Information...เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นคำที่มีความหมายกว้าง
...สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่ กฎเกณฑ์และวิชาการ เป็นต้น ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองของเราเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เราคงตอบไม่ได้ แต่สามารถเรียกเอาข้อมูลมาใช้ได้ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมอง เป็นสิ่งที่สะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการเรียกใช้ข้อมูลนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ชัดว่าความรู้เกิดจากข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทุกวันนี้มีข้อมูลอยู่รอบตัวเรามาก ข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การสื่อสารระหว่างบุคคล จึงมีผู้กล่าวว่ายุคนี้เป็นยุคของสารสนเทศ
...เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้จัดการ สารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวม การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูลด้วย (http://most.go.th/ictc/index.php/ictc-km/it-library/48-it-articles/89--information-technology.html?start=1)



นานวันไปรู้ใจกลายเป็นเพื่อนกัน...

...ปัจจุบันโลกของเรามีการเทคโนโลยีและความก้าวหน้าต่างๆมากมายเช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีแทบทุกคนเพราะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ติดต่อสือสารกัน ซึ่งแต่เดิมโทรศัพท์มือถืออาจมีความสำคัญเพียงแค่ติดต่อสือสารการไม่ได้มีบทบาทเรืองการช่วยอำนวยความสะดวกทางด้านการศึกษาเท่าไรเพราะมือถือสมัยก่อนยังไม่มีการพัฒนาโปแกรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ฉะนั้นในสมัยก่อนโทรศัพท์มือถือจึงมีความสำคัญเพียงเพื่อสื่อสารไม่มีความสำคัญต่อการศึกษามากมายนัก แต่ทุกวันนี้มีการพัฒนาให้มีความทันสมัยมากขึ้น เช่นจากโทรศัพท์มือถือธรรมดา ก็กลายเป็น สมาร์ทโฟน ซึ่งมีความันสมัย มีความก้าวหน้าในด้านการสื่อสารข้อมูลไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมต่างๆที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่นโปรแกรมเกี่ยวกับด้านการศึกษา
ที่มีการพัฒนามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราต้องการที่จะอ่านหนังสือหรือหาข้อมูลต่างๆเราก็ไม่ต้องเดินทางไปอ่านที่ห้องสมุดหรือตามศูนย์ต่างๆเพียงแค่เรามีโทรศัพท์มือถือและมีโปรแกรม e-book เราก็สามารถอ่านหนังสือบนโทรศัพท์ของเราได้เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือเหล่านี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากเทคโนโลยีสารสนเทศสิ้น ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ระบบสารสนเทศ จึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 


ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทคต่อตัวเรา


...อย่างไรก็ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ทำให้มีความสะดวกสบายจนบางครั้งเราลืมวิถีชีวิตแบบเดิมๆที่เช่นเวลาต้องต้องการหาข้อมูลทำรายงานแต่เดิมก็รีบเข้าห้องสมุดเพื่อไปหาหนังสือเพราะกลัวว่ามีคนอื่นยืมไปก่อนทำให้เรามีความกระตือรือร้นในการทำงานแต่เดี่ยวนี้เราอาจคิดว่าหาข้อมูลได้จากเว็บไซด์ต่างๆมากมายไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนทำให้เราขาดความกระตือรือร้นบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ทำร้ายเราทางอ้อมโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ดังนั้นเราควรก้าวไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นทุกวันด้วยความมีสติ







วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชาคมอาเซียนส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของไทยและต่อตัวเราอย่างไร

อาเซียน...อาเซียน...อาเซียน  

ใครๆก็เริ่มพูดถึงอาเซียน ขนาดนายกของไทยยังบอกเด็กให้ นำพาไทยสู่อาเซียน..(โยว่.โยว่ๆ)

ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราควรมาทำความรู้จักกับประชาคมอาเซียนกันดีกว่า เพื่อวันข้างหน ้าเราจะได้มีเพื่อนมากมายภายใต้อาเซียนเดียวกัน 
          ประชาคมอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศในแถบเอเชีย 10 ประเทศด้วยกันคือ ไทย  สิงคโปร์  อินโดเนเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  บรูไน เวียตนาม  ลาว พม่า และกัพูชา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 
1. ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
2. ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
3. เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
4. ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
5.ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรมการขยายการค้าตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
7.เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอกองค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ
          จาก ข้างต้นเราพอจะทราบที่มาและวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งประชาคมอาเซียนกัน คร่าวๆแล้ว เราลองมาดูการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยที่จะรองรับกับประชาคมอาเซียนกันบ้าง แต่ในที่จะกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของการศึกษาไทยในระดับบัณฑิตศึกษา 
         สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่นๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกๆด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนเรียนการสอนภาษาต่างระเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในประชาคมอาเซียน แต่ดิฉันคิดว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาที่เป็นภาษาราชการของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนก็จำเป็นต่อการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา เช่นกัน เพราะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จะมีการเปิดเสรีในนด้านต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น การเปิดเสรีในวิชาชีพต่างๆเช่น
  1. วิชาชีพที่เกี่ยวกับการรักษาหรือการแพทย์ (Medical services)
  2. วิชาชีพที่เกี่ยวกับทันตกรรม (dental services)
  3. วิชาชีพพยาบาล (nursing services)
  4. วิชาชีพด้านวิศวกรรม  (engineering services)
  5. วิชาชีพด้านสถาปัตยกรรม (architectural services)
  6. วิชาชีพเกี่ยวกับการสำรวจ หรือนักสำรวจ (surveying qualification)
  7. วิชาชีพบัญชี (accountancy services)
ซึ่งการเปิดเสรีทางวิชาชีพเช่นนี้ก็อาจจำเป็นที่เราจะต้องไปประกอบอาชีพต่างๆในประเทศนั้นและการที่เรามีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษที่ดีก็เป็นเรื่องดีแต่ถ้าเราสามารถสื่อสารหรือพูดภาษาที่เป็นภาษาของแต่ละประเทศได้ด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีมากเพราะประชาชนบางส่วนอาจไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ซึ่งสิ่งนี้การศึกษาของไทยก็หน้าที่จะสนับสนุนด้วยเพื่อฝึกความพร้อมที่จะรับมือกับประชาคมอาเซียน

 แต่การเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษาเพื่อรับมือกับประชาคมอาเซียนนั้นก็อาจยังส่งผลกระทบต่างๆอยู่บ้าง เช่นการศึกษาของโลก มีการเปลี่ยนแปลง เช่นนักศึกษาส่วนใหญ่ในอนาคตอาจต้องการศึกษาวิชาชีพที่เปิดเสรีทางอาเซียน ซึ่งการสร้างบัณฑิตให้สามารถแข่งขันได้ใน ASEAN เพิ่มโอกาสในการทำงาน ไม่เช่นนั้น จะถูกแย่งงานเพราะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน/บริการอย่างเสรี  ต้องเตรียมการรองรับผลกระทบนี้อย่างเร่งด่วน
          ส่วนผลกระทบที่เกิดกับตัวดิฉันในการเปิดประชาคมอาเซียนคือ รายวิชาที่เรียนจะเน้นเรียนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้สามารถสื่อสารและทำความเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษได้ ยกตัวอย่างเช่นรายวิชาสัมมนาซึ่งเป็นรายวิชาที่เป็นการนำเสนองาน ทางสาขาวิชาจึงได้ให้ใช้ภาษาอังกฤษในการนำเสนอซึ้งทั้งนี้ก็ทำให้ดิฉันต้องทำการปรับตัวกับภาษาอังกฤษมากเหมือนกัน และอีกอย่างที่ดิฉันคิดว่าหน้าจะมีผลกระทบกับตัวดิฉันในอนาคตกันใกล้ก็คือ การเปิดเสรีทางด้านวิชาชีพแต่เนื่องจากวิชาชีพที่ดิฉันได้ศึกษาอยู่นะขณะนี้ไม่ได้จัดอยู่ในวิชาชีพที่เปิดเสรีทางอาเซียนแต่ดิฉันก็หวังว่าในอนาคตอาชีพครูฟิสิกส์ของดิฉันก็อาจถูกเปิดกว้างในประชาคมอาเซียนเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"แรกเริ่มรู้จักเพียงทักทาย นานวันไปรู้ใจกลายเป็นเพื่อนกัน"

      การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นต้องมีการทำความรู้จักกันเพราะคนเราคงอยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้ ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกันเราจึงควรมีปฎิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงแม้ครั้งแรกที่รู้จักกันอาจเป็นเพราะเพียงแค่เพื่อทักทายกัน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปการที่เราได้ทักทายกันนั้นอาจก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีงามจนเรากลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน.... ถ้างั้นเราคงต้องมาทำความรู้จักกันแล้วนะค่ะ

       



      ชื่อ รชตวรรณ กมลเพชร ชื่อเล่น โอ เกิดวันจันทร์ ที่ 22 สิงหาคม 2531 โอเกิดที่เพชรบูรณ์ แต่เดิมทีแล้วพ่อแม่เป็นคนโคราชแต่ไปเปิดร้านขายของชำที่เพชรบูรณ์ จึงย้ายไปอยู่ที่ อ.วิเชียรบุรี( ถิ่นไก่ย่างอร่อยใครไปเพชรบูรณ์แวะชิมกันนะค่ะ) โอมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน โอเป็นลูกคนสุดท้อง เลยค่อนข้างมีอายุห่างจากพี่ๆพอสมควรเพราะโอเป็นลูกหลง พ่อกับแม่ไม่คิดว่าจะมีลูกแล้วแต่โอดันมาเกิดพอดี พ่อแม่คิดว่าจะได้ลูกชายเลยปล่อยให้เกิด อิอิ เพราะพี่ๆของโอทั้ง 3คนเป็นผู้หญิง แต่สุดท้ายโอก็เกิดมาเป็นผู้หญิงอีกคนจึงทำให้พี่น้องของโอมีแต่ผู้หญิงหมด


     

 

      

จากที่บ้านโอเป็นร้านขายของชำ จึงทำให้โออยู่กับแวดวงการค้าขายมาตลอดตั้งแต่เด็ก โดยที่จะเห็นพ่อกับแม่ตื้นเช้าไปซื้อของที่ตลาดมาขาย พอกลับมาลูกๆก็จะตื่นขึ้นมาช่วยขายของก่อนไปโรงเรียน พอตอนเย็นกลับจากเรียนก็มาขายของกัน ซึ่งเป็นช่วงที่สนุกสนานมากเพราะครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน

 

   

       แต่ต่อมาพี่ๆทั้ง 3 คนต้องมาเรียนที่โคราช ทำให้โอต้องอยู่กับพ่อแม่ บางครั้งก็เหงาคิดถึงพี่ๆแต่ก็คิดว่าพี่ๆก็คงอยากอยู่กับพ่อแม่เหมือนกันแต่จำเป็นต้องไปเรียนพี่ๆจะกลับมาทุก เทศกาลทุกคนก็จะอยู่พร้อมหน้ากัน แต่ครอบครัวโอไม่เคยได้ไปเที่ยวเหมือนกับครอบครัวอื่น เพราะที่บ้านขายของถ้าปิดร้านไปเที่ยวก็จะเสียรายได้ฉะนั้นทุกๆเทศกาลครอบครัวโอจะทำอาหารหรือฉลองกันอยู่ที่บ้าน แต่แค่นี้โอก็ว่ามีความสุขมากแล้วที่ได้อยู่ร่วมกัน พอพี่ๆเรียนจบก็ทำงานที่โคราช โอก็ได้ไปเรียนต่อที่ โคราชเหมือนกัน เรียนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน สาขาฟิสิกส์ประยุกต์ ทำให้พ่อกับแม่ต้องอยู่บ้านกัน 2 คน คงจะเหงาน่าดูแต่เราทั้ง 4 คนพี่น้องก็หาเวลากลับบ้านกันบ่อยๆไปช่วยพ่อกับแม่ พ่อแม่โอเป็นคนที่เก่งมากขยันอดทนเพื่อที่จะหาสิ่งดีๆให้รู้ และในที่สุดก็ถึงวันที่โอใด้ทำให้พ่อแม่ภูมิใจบ้างแล้วคือวันที่โอ เรียนจบและได้รับปริญญาเมื่อวันที่ 24 พ.ย.2555 ที่ผ่านมานี่เองโออยากจะขอบคุณครอบครัวของโอมากที่ค่อยสนุบสนุนโอมาตลอด จนตอนนี้พ่อแม่ก็ยังต้องทำงานเพื่อให้โอเรียนต่อ เพื่อที่จะมีงานทำที่ดีและมีอนาคตที่มั่นคง ซึ่งโอจะพยายามทำสิ่งที่พ่อแม่ได้หยิบยื่นให้นี้ให้ดีที่สุดให้สมกับการเหนื่อยของพ่อแม่นะค่ะ และนี่ก็เป็นประวัติความเป็นมาของโอคร่าวๆที่น่าจะทำให้เพื่อนๆรู้จักตัวตนของโอมากขึ้นนะค่ะ ^^